Introduction to Pharmacology_dd6f

18
Introduction to Pharmacology_NU/ 1 บบบบบ 1 บบบบบ Introduction to Pharmacology บบ. บ. บบบบบบ บบบบบบบ บบบบบบบบบบบบ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ, เเเเเเเเเเเ, เเเ เเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ, เเเเเ เเเเเเเเเ, เเเเเเเเเเเเเ, เเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเ (Receptors) บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ 1. เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ 2.เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเ 3.เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเ 4.เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ เเเเเเเเเเเเเ 5.เเเเเเเเเเเเเเเเเ Agonist, Partial agonist เเเ Antagonist เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ 6. เเเเเเเเเเเเเ Antagonism เเเ Enhancement of drug effects เเเเเเเเเเเเเ 7.เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ therapeutic index, efficacy เเเ potency บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ 1.เเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเเ

Transcript of Introduction to Pharmacology_dd6f

Page 1: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 1

บทท�� 1 บทนำ�� Introduction to Pharmacology

ภญ. อ. ปวิ�ตร� พู�ลบ�ตร

แนำวิคิ�ดรวิบยอดเภสั�ชวิ�ทยาเป็�นวิ�ชาท��ศึ�กษาเก��ยวิข้�องก�บการเก�ดป็ฏิ�ก�ร�ยาระหวิ�างร�างกาย

ก�บสัารเคมี� หร"อยาท��ให�ไป็จากภายนอก การศึ�กษาทางเภสั�ชวิ�ทยาน�&นจะรวิมีท�&งกลไกการออกฤทธิ์�*ข้องยาในร�างกาย และการเป็�นไป็ข้องยาในร�างกายตั้�&งแตั้�การด-ดซึ�มียา, การกระจายยา, การเป็ล��ยนแป็ลงยา และการข้�บถ่�ายยาออกจากร�างกาย ในบทน�&จะกล�าวิถ่�งควิามีหมีายข้องเภสั�ชวิ�ทยา, เภสั�ชจลนศึาสัตั้ร0, เภสั�ชพลศึาสัตั้ร0, แหล�งท��มีาข้องยา และร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีชน�ดตั้�างๆ รวิมีท�&งอธิ์�บายการออกฤทธิ์�*ตั้�อยาก�บตั้�วิร�บ (Receptors)

วิ�ตถุ�ประสงคิ�เชิ�งพูฤต�กรรมเมี"�อน�สั�ตั้ศึ�กษาเอกสัารแล�วิน�สั�ตั้สัามีารถ่1. เข้�าใจควิามีหมีายข้องเภสั�ชวิ�ทยา2. อธิ์�บายควิามีหมีายข้องเภสั�ชจลนศึาสัตั้ร0และเภสั�ชพลศึาสัตั้ร03. เข้�าใจควิามีสั3าค�ญข้องวิ�ชาเภสั�ชวิ�ทยาท��มี�ตั้�อวิ�ชาช�พพยาบาล4. เข้�าใจถ่�งแหล�งท��มีาข้องยาและชน�ดข้องยาเตั้ร�ยมีในร-ป็แบบตั้�างๆ5. เ ข้� า ใ จ ค วิ า มี ห มี า ย ข้ อ ง Agonist, Partial agonist แ ล ะ

Antagonist พร�อมีท�&งแยกควิามีแตั้กตั้�างได�6. อธิ์�บายการเก�ด Antagonism และ Enhancement of drug

effects ในร-ป็แบบตั้�างๆ7. เข้�าใจควิามีหมีายและควิามีสั3า ค�ญข้อง therapeutic index,

efficacy และ potency

ก�จกรรมก�รเร�ยนำเพู%�อบรรล�วิ�ตถุ�ประสงคิ�1. ศึ�กษาเอกสัารป็ระกอบการสัอน2. ฟั6งการบรรยายในห�องเร�ยน3. ศึ�กษาเอกสัารอ�างอ�งเพ��มีเตั้�มี

ก�รประเม�นำผล1. สัอบวิ�ดควิามีร- �

Page 2: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 2

ส%�อและอ�ปกรณ์�1. PowerPoint Presentation2. เอกสัารป็ระกอบการสัอน

บทท�� 1 บทนำ�� Introduction to Pharmacology

1. คิวิ�มหม�ยของเภส�ชิวิ�ทย� (Pharmacology)

เภสั�ชวิ�ทยาเป็�นวิ�ชาท��ศึ�กษาเก��ยวิก�บการเก�ดป็ฏิ�ก�ร�ยาระหวิ�างระบบช�วิ�ตั้ก�บสัารเคมี�ท��ให�ไป็จากภายนอก ซึ��งสั�วินใหญ�เก��ยวิก�บฤทธิ์�*ข้องสัารเคมี�ท�&งทางด�านช�วิเคมี�และด�านสัร�รวิ�ทยา น��นค"อ กลไกการออกฤทธิ์�*ข้องสัารเคมี�ในร�างกาย, การด-ดซึ�มี, การกระจายตั้�วิ, การแป็รสัภาพหร"อการเป็ล��ยนแป็ลงสัารเคมี�ในร�างกาย และการข้�บถ่�ายสัารเคมี�ออกจากร�างกายรวิมีท�&งการเก�ดควิามีเป็�นพ�ษหร"อการน3ามีาใช�ให�เก�ดป็ระโยชน0ตั้�อร�างกาย ในการศึ�กษาเภสั�ชวิ�ทยาข้องสัารเคมี�ค�อนข้�างจะกวิ�างมีาก จ�งอาจจ3าก�ดให�แคบลงโดยการศึ�กษาถ่�งเฉพาะสัารเคมี�ท��น3ามีาใช�ร�กษาหร"อป็9องก�นโรค ซึ��งสัารเคมี�น�&นก:หมีายถ่�ง ยา“ ” น��นเอง

ยา (Drugs) หมีายถ่�ง สัารเคมี�ท��ท3าให�เก�ดการเป็ล��ยนแป็ลงการท3างานข้องร�างกาย (Biological function) ยาไมี�สัามีารถ่ท3า ให�เก�ดฤทธิ์�* ใหมี� (create new function) แตั้�จะป็ร�บเป็ล��ยนการท3างานข้องร�างกายเท�าน�&น ในกรณี�สั�วินใหญ�โมีเลก<ลข้องยาจะเก�ดป็ฏิ�ก�ร�ยาร�วิมีก�บโมเลก�ลเฉพู�ะท��ท3าหน�าท��จ�บก�บโมีเลก<ลข้องยาและท3าให�เก�ดฤทธิ์�*ข้องยาข้�&น นอกจากน�&ยาตั้�องมี�ค<ณีสัมีบ�ตั้�ท��สัามีารถ่ถ่-กน3าจากจ<ดท��ให�ยา (site of administration) ไป็ย�งจ< ด ท�� ย า อ อ ก ฤ ท ธิ์�* (site of action) ไ ด� แ ล ะ ท� า ย ท�� สั< ดย า จ ะ ตั้� อ ง ถ่-กเป็ล��ยนแป็ลงให�หมีดฤทธิ์�* (inactivate) และถ่-กข้�บถ่�ายออกไป็จากร�างกายในอ�ตั้ราท��เหมีาะสัมี เพ"�อให�เก�ดฤทธิ์�*ข้องยาในระยะเวิลาท��เหมีาะสัมี

2. ปฏิ�ก�ร�ย�ระหวิ-�งย�และร-�งก�ย (Drug-Body Interactions)

ป็ฏิ�ก�ร�ยาระหวิ�างยาและร�างกายแบ�งออกได�เป็�น 2 อย�างค"อ1. เภสั�ชพลศึาสัตั้ร0 (Pharmacodynamics)

Page 3: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 3

2. เภสั�ชจลนศึาสัตั้ร0 (Pharmacokinetics)

2.1 เภส�ชิพูลศ�สตร� (Pharmacodymamics)

Pharmacodynamics เก��ยวิข้�องก�บการออกฤทธิ์�*ข้องยาตั้�อร�างกาย (what drug does to the body) เป็�นการศึ�กษาผลท�&งทางด�านช�วิเคมี�และสัร�รวิ�ทยาข้องยา และกลไกท��ท3าให�เก�ดผลท�&งด�านท��พ�งป็ระสังค0ค"อฤทธิ์�*ในการร�กษา และผลท��ไมี�พ�งป็ระสังค0ค"ออาการข้�างเค�ยงและพ�ษข้องยา ซึ��งการศึ�กษาการออกฤทธิ์�*ข้องยาตั้�อร�างกายย�งรวิมีถ่�งการศึ�กษาการจ�บข้องยาเข้�าก�บโมีเลก<ลข้องร�างกายท��ท3าหน�าท��เป็�นตั้�วิร�บ (drug target) และศึ�กษาถ่�งควิามีสั�มีพ�นธิ์0ระหวิ�างข้นาดยาท��ใช�ก�บการตั้อบสันองท��เก�ดข้�&นในร�างกาย (dose-response relationship) ด�วิย

2.2 เภส�ชิจลนำศ�สตร� (Pharmacokinetics)

Pharmacokinetics เก��ยวิข้�องก�บการเป็�นไป็ข้องยาเมี"� อยาเข้�าสั-�ร �างกาย หร"อหมีายถ่�งการท��ร �างกายจ�ดการก�บยาท��ได�ร�บ (what the body

does to the drug) ซึ�� ง ไ ด� แ ก� ก า ร ด- ด ซึ�มี ข้ อ ง ย า เ ข้� า สั-� ร � า ง ก า ย (absorption), การกระจายตั้�วิข้องยา (distribution), การเป็ล��ยนแป็ลงยา (metabolism), และการข้�บถ่�ายยาออกจากร�างกาย (excretion) ซึ��งองค0ป็ระกอบเหล�าน�&รวิมีก�บข้นาดยาท��ให�จะเป็�นสั��งท��ก3าหนดถ่�งควิามีเข้�มีข้�นข้องยาในบร�เวิณีท��ยาไป็ออกฤทธิ์�*และเป็�นผลตั้�อเน"�องไป็ถ่�งควิามีแรงข้องฤทธิ์�*ยาท��เก�ดข้�&น เวิลาท��ยาเร��มีออกฤทธิ์�* (onset) และระยะเวิลาการออกฤทธิ์�*ข้องยาในร�างกาย (duration of action)

Dose of drug

administered

Drug concentration In systemic circulation Drug in tissues

or distribution

Drug concentrationat site of action

absorption

Drug metabolized or excreted

Pharmacokinetics

distribution

elimination

Page 4: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 4

ภาพ ท�� 1 Schematic representation of the pharmacokinetic and pharmacodynamic processes that link administration of drugs to its effects

คิวิ�มส��คิ�ญของเภส�ชิวิ�ทย�ต-อวิ�ชิ�ชิ�พูพูย�บ�ลพยาบาลเป็�นบ<คลากรทางการแพทย0ท��มี�หน�าท��ในการพยาบาลด-แลผ-�ป็>วิย

ซึ��งล�กษณีะงานท��ตั้�องมี�การใกล�ช�ดก�บผ-�ป็>วิยน�&ท3าให�พยาบาลตั้�องร�บร- �เก��ยวิก�บฤทธิ์�*ข้องยาท�&งด�านท��พ�งป็ระสังค0และไมี�พ�งป็ระสังค0 และเป็�นผ-�หน��งท��จะช�วิยให�การใช�ยาเป็�นไป็ตั้ามีวิ�ตั้ถ่<ป็ระสังค0ท��ตั้� &งไวิ� ซึ��งการท��พยาบาลจะสัามีารถ่ช�วิยให�การใช�ยาเป็�นไป็ได�อย�างมี�ป็ระสั�ทธิ์�ภาพจ3าเป็�นตั้�องมี�ควิามีร- �ควิามีเข้�าใจเก��ยวิก�บยาท��เพ�ยงพอ เช�นเข้�าใจวิ�าเหตั้<ใดจ�งตั้�องให�ยาผ-�ป็>วิยป็ร�มีาณีครบตั้ามีจ3านวินและเวิลาท��ก3าหนด รวิมีท�&งมี�ควิามีร- �เพ�ยงพอท��จะสั�งเกตั้<ผลท��เก�ดข้�&นจากการใช�ยาเพ"� อรายงานให�ก�บแพทย0ผ-�ท3าการร�กษาผ-�ป็>วิย ไมี�วิ�าจะเป็�นอาการไมี�พ�งป็ระสังค0หร"ออาการพ�ษท��เก�ดเน"�องจากการใช�ยาในข้นาดท��สั-งเก�นไป็ มี�การแพ�ยา หร"อการใช�ยาไมี�ได�ผลในการร�กษา เป็�นตั้�น ท�&งน�&เน"�องจากพยาบาลเป็�นผ-�ท��ใกล�ช�ดก�บผ-�ป็>วิยโดยเฉพาะเมี"�อผ-�ป็>วิยเป็�นผ-�ป็>วิยใน ด�งน�&นนอกเหน"อควิามีร- �ทางด�านการพยาบาลแล�วิ ควิามีร- �พ"&นฐานทางด�านเภสั�ชวิ�ทยาจ�งน�บวิ�าเป็�นสั��งท��จ3าเป็�นสั3าหร�บวิ�ชาช�พพยาบาล

3. คิวิ�มร�/ท��วิไปเก��ยวิก�บย�แหล-งท��ม�ของย�

Pharmacologic effect

Clinical response

Toxicity Efficacy

Pharmacodynamics

Page 5: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 5

ยาท��ใช�สัามีารถ่แบ�งตั้ามีแหล�งก3าเน�ดได�เป็�น 3 กล<�มีใหญ�ค"อ ยาท��ได�จากธิ์รรมีชาตั้� ยาท��ได�จากการสั�งเคราะห0ทางเคมี� และยาท��ได�จากการก��งสั�งเคราะห0ทางเคมี�

1. ยาท��ได�จากธิ์รรมีชาตั้� ยาท��อย-�ในกล<�มีน�&ได�แก� ยาจากแร�ธิ์าตั้< สั�ตั้วิ0 และพ"ช รวิมีท�&งจ<ลช�พ ตั้�วิอย�างเช�นยาท��ได�จากแร�ธิ์าตั้<

- ยาใสั�แผลสัด Tincture iodine ซึ��งเป็�นยาใช�ภายนอก- ผงน3&าตั้าลเกล"อแร� (Oral Rehydrating Salt; ORS) ใช�ในการ

ทดแทนการสั-ญเสั�ยน3&าและเกล"อแร�- ยา Lithium carbonate เป็�นยาร�กษาโรคจ�ตั้ชน�ดคล<�มีคล��ง - ยาลดกรดป็ระเภทอล-มี�เน�ยมีไฮดรอกไซึด0 แมีกน�เซึ�ยมีไฮดรอกไซึด0

ยาท��ได�จากสั�ตั้วิ0- Heparin เป็�นยาตั้�านการแข้:งตั้�วิข้องเล"อด เป็�นสัารสัก�ดท��ได�จากป็อด

วิ�วิ และเย"�อบ<ล3าไสั�ข้องหมี- วิ�วิ หร"อแกะ- Congugated estrogen เป็�นฮอร0โมีนทดแทนฮอร0โมีนเพศึหญ�ง

ซึ��งสัก�ดได�จากป็6สัสัาวิะข้องมี�ายาท��ได�จากจ<ลช�พ

- ยาในกล<�มีน�&เร�ยกวิ�า ยาป็ฏิ�ช�วินะ สั�วินมีากใช�ในการร�กษาโรคตั้�ดเช"&อตั้�างๆ โดยเฉพาะเป็�นยาตั้�านเช"&อแบคท�เร�ยยาท��ได�จากพ"ช

- Digoxin ได�จากตั้�น Digitalis เป็�นยาในการร�กษาภาวิะห�วิใจล�มีเหลวิ- Quinine เป็�นสัารสัก�ดท��ได�จากเป็ล"อกตั้�น cinchona ใช�ในการร�กษา

มีาลาเร�ย2. ยาท��ได�จากการสั�งเคราะห0ทางเคมี� ซึ��งเป็�นกล<�มียาท��ใหญ�ท��สั<ด ยาสั�วิน

ใหญ�ในป็6จจ<บ�นได�จากการสั�งเคราะห0ทางเคมี�ตั้�วิอย�างเช�น ยาในกล<�มีตั้�านการอ�กเสับท��ไมี�ใช�สัเตั้�ยรอยด0 (Non-steroidal anti-inflammatory drugs;

NSAIDs), ยาร�กษาโรคเบาหวิาน (Antidiabetic drug) เป็�นตั้�น3. ยาท��ได�จากการก��งสั�งเคราะห0ทางเคมี� สั�วินใหญ�เป็�นยาท��มี�สั-ตั้รโมีเลก<ล

ท��ซึ�บซึ�อน จ�งเร��มีตั้�นจากการน3าสัารสัก�ดจากพ"ชมีาเป็�นสัารตั้�&งตั้�น ตั้�วิอย�างเช�นสัารพวิกฮอร0โมีนเพศึ สัารท��น3ามีาเป็�นสัารตั้�&งค"อ Diosgenin ได�จากพ"ช และน3า ไป็สั�ง เคราะห0 Testosterone, estradiol และ corticosrteroids

เป็�นตั้�น

Page 6: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 6

ก�รเก1บร�กษ�ย�การเก:บร�กษายาเป็�นสั��งสั3าค�ญซึ��งบ<คลากรทางการแพทย0 ท�&งเภสั�ชกร

แพทย0 รวิมีท�&งพยาบาลมี�บทบาทสั3าค�ญท��จะท3าให�การใช�ยาไมี�เก�ดข้�อผ�ดพลาด และยาย�งคงมี�ฤทธิ์�*ในการร�กษาข้ณีะท��ผ-�ป็>วิยได�ร�บยาโดยท��ยาไมี�หมีดอาย< หร"อเสั"�อมีสัภาพเสั�ยก�อน ข้�อท��ควิรป็ฏิ�บ�ตั้�ค"อ

1. ควิรมี�ภาชนะบรรจ<ยาหร"อตั้-�เก:บยาเป็�นสั�ดสั�วิน และตั้�&งไวิ�ในท��อากาศึถ่�ายเทสัะดวิก ไมี�ถ่-กแดดสั�อง หร"อร�อนอบอ�าวิและไมี�อย-�ในท��ช"&น

2. ไมี�ควิรเก:บยาตั้�างชน�ดก�นในซึองเด�ยวิก�น หร"อภาชนะบรรจ<เด�ยวิก�น3. ระวิ�งฉลากยาหล<ดหายหร"อฉ�กข้าด และควิรมี�การเข้�ยนฉลากบน

ภาชนะบรรจ<ยาเสัมีอ4. ในกรณี�ท��ยาบรรจ<ในภาชนะท��เป็�นข้วิดสั�ชา ห�ามีเป็ล��ยนเป็�นข้วิดใสั

เน"�องจากแสัดงวิ�ายาชน�ดน�&นตั้�องเก:บในท��ก�นแสัง5. ควิรป็Aดภาชนะบรรจ<ยาให�สัน�ทเสัมีอ6. ควิรมี�การตั้รวิจด-วิ�ายาใกล�หมีดอาย<หร"อไมี� หากหมีดอาย<ควิรท3าการ

ก3าจ�ดท�นท�โดยท��วิไป็ยาสัามีารถ่เก:บได�ท��อ<ณีหภ-มี�ห�อง (15-30 องศึาเซึลเซึ�ยสั) ไมี�

จ3าเป็�นตั้�องเก:บในตั้-�เย:นเสัมีอ ยกเวิ�นยาบางชน�ดซึ��งสั�วินมีากเป็�นพวิกวิ�คซึ�น หร"อยาฆ่�าตั้�านแบคท�เร�ยบางชน�ดเช�น chloramphenicol eye/ ear drop

ร�ปแบบย�เตร�ยมร- ป็ แ บ บ ย า เ ตั้ ร� ย มี (dosage form or pharmaceutical

preparation) ค"อร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีท��เตั้ร�ยมีข้�&นเพ"�อให�เหมีาะสัมีก�บการใช� อย-�ในร-ป็แบบท��สัะดวิกและเหมีาะสัมีในการใช� โดยท��ในร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีจะป็ระกอบด�วิยตั้�วิยาสั3าค�ญท��ออกฤทธิ์�*และสั�วินป็ระกอบอ"�นๆท��ช�วิยท3าให�ยาอย-�ในร-ป็แบบท��เหมีาะสัมีหร"อช�วิยในการป็ลดป็ล�อยตั้�วิยา ช�วิยในการแตั้�งกล��น แตั้�งรสั แตั้�งสั�ร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีท��ด�ควิรมี�สัมีบ�ตั้�ด�งน�&ค"อ

1. มี�ข้นาดข้องตั้�วิยาท��ออกฤทธิ์�*ถ่-กตั้�องตั้ามีมีาตั้รฐาน 2. มี�ควิามีสัามีารถ่ป็ลดป็ล�อยตั้�วิยาท��ออกฤทธิ์�*เข้�าสั-�ร �างกายได� และมี�

ป็ระสั�ทธิ์�ภาพด�ในการร�กษาโรคท��มี�ข้�อบ�งใช�3. มี�ควิามีสัมี3�าเสัมีอข้องข้นาดยาในแตั้�ละคร�&งท��ใช�4. มี�ควิามีป็ลอดภ�ย บร�สั<ทธิ์�* ไมี�มี�การป็นเป็C& อนข้องสัารท�� เป็�น

อ�นตั้รายตั้�อร�างกาย5. มี�ควิามีคงตั้�วิท��ด�เมี"�อเก:บไวิ�ในระยะเวิลาท��ก3าหนด

Page 7: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 7

6. มี�ล�กษณีะท��น�าใช� สัะดวิกในการใช�ร�ปแบบย�เตร�ยม

ร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีอาจแบ�งตั้ามีล�กษณีะทางกายภาพได�เป็�น1. ข้องแข้:ง เช�น ยาเมี:ด แคป็ซึ-ล ยาผง2. ข้องเหลวิ เช�น ยาน3&าเช"�อมี ยาสัวินล�าง ยาน3&าแข้วินตั้ะกอน ยาน3&า

แข้วินละออง3. ก��งข้องแข้:ง เช�นข้�&ผ�&ง คร�มี เจล

ร-ป็แบบยาท��เป็�นข้องแข้:งยาเมี:ด (Tablet)

ยาเมี:ดเป็�นร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีท��เป็�นเมี:ดแข้:ง มี�ร-ป็ร�างและข้นาดท��แตั้กตั้�างก�นไป็ ยาเมี:ดป็ระกอบด�วิยตั้�วิยาสั3าค�ญและสั�วินป็ระกอบอ"�นเช�น สัารท��ช�วิยเพ��มีป็ร�มีาณี, สัารย�ดเกาะ เพ"�อให�ผงยาสัามีารถ่ย�ดเกาะก�น, สัารท��ท3าให�เมี:ดยามี�การแตั้กตั้�วิได�, สัารหล�อล"�นเพ"�อให�ยาสัามีารถ่หล<ดออกจากเบ�าตั้อกได� รวิมีท�&งสัารอ"�นๆ เช�นสัารแตั้�งสั� กล��น รสั เพ"�อให�ยาน�าร�บป็ระทาน

ยาเมี:ดสัามีารถ่แบ�งเป็�นป็ระเภทย�อยได�แก� Plain tablet ยาเมี:ดท��ไมี�ได�มี�การเคล"อบ เช�น Paracetamol

tablet Coated tablet ยาเมี:ดเคล"อบสัารตั้�างๆ เพ"�อกลบรสัชาตั้� หร"อ

เพ"� อเพ��มีควิามีคงตั้�วิให�ยาแตั้กตั้�วิในบร�เวิณีทางเด�นอาหารท��ตั้�องการ ได�แก� ยาเมี:ดเคล"อบน3&าตั้าล (sugar coated tablet)

ยาเมี:ดเคล"อบฟัAล0มี (film coated tablet) ยาเมี:ดเคล"อบเพ"�อให�แตั้กตั้�วิท��ล3าไสั� (enteric coated tablet) ซึ��งมี�กใช�ก�บยาท��มี�การระคายเค"องกระเพาะอาหาร เช�น aspirin tablet

ยาอมีใตั้�ล�&น (Sublingual tablet) เช�น Nitroglycerin SL tablet

ยาเมี:ดสั3าหร�บเค�&ยวิ (Chewable tablet)

ยาเมี:ดฟั- > (Effervescent tablet)

ยาเมี:ดออกฤทธิ์�*เน��น (sustained release tablet) เป็�นยาเมี:ดท��ค�อยป็ลดป็ล�อยตั้�วิยาออกมีาอย�างช�าๆ ท3าให�ยาออกฤทธิ์�*ได�นาน ซึ��งจะช�วิยลดควิามีถ่��ข้องการร�บป็ระทานยาและเพ��มีควิามีร�วิมีมี"อในการใช�ยาข้องผ-�ป็>วิย เช�น Nifedipine CR

ยาแคป็ซึ-ล (Capsule)

Page 8: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 8

เป็�นร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีชน�ดข้องแข้:งเป็�นผง, แกรน-ล หร"อข้องเหลวิท��บรรจ<ในป็ลอกซึ��งเตั้ร�ยมีจากเจลาตั้�น แบ�งได�เป็�น 2 ชน�ดค"อ

Soft capsule แคป็ซึ-ลชน�ดอ�อน แคป็ซึ-ลเป็�นช�&นเด�ยวิบรรจ<ยาท��เป็�นข้องเหลวิไวิ�ภายใน ใช�ก�บยาท��เตั้ร�ยมีเป็�นเมี:ดได�ยาก และไมี�คงตั้�วิ

Hard capsule แคป็ซึ-ลชน�ดแข้:ง แคป็ซึ-ลเป็�น 2 สั�วินสัวิมีเข้�าหาก�น ภายในบรรจ<ผงยาหร"อแกรน-ล ผงยาท��บรรจ<นอกจากเป็�นตั้�วิยาสั3าค�ญแล�วิมี�กมี�สัารเพ��มีป็ร�มีาณีและสัารหล�อล"�นด�วิย

แคป็ซึ-ลมี�ข้�อด�ท��ร �บป็ระทานง�าย กลบรสัและกล��นข้องยาได�ด�ยาผง (Powders) และยาแกรน-ล (Granule)

เป็�นร-ป็แบบยาท��เป็�นผงละเอ�ยดหร"อผงหยาบแห�ง โดยอาจเป็�นตั้�วิยาสั3าค�ญท��ผสัมีก�บสั�วินป็ระกอบอ"�นๆ ได�แก�

ยาผงสั3าหร�บร�บป็ระทาน โดยก�อนร�บป็ระทานตั้�องมี�การผสัมีผงยาก�บน3&าก�อน เช�นยาป็ฏิ�ช�วินะสั3าหร�บเด:ก

ยาผงทาภายนอก เช�น ยาโรยแผลฆ่�าเช"&อโรค ยาผงสั3าหร�บฉ�ด (sterile powder for injection) โดย

มี�กเป็�นตั้�วิยาท��ไมี�คงตั้�วิในสัารละลายจ�งเตั้ร�ยมีอย-�ในร-ป็ผงบรรจ<ในหลอดแก�วิท��ป็ราศึจากเช"& อและตั้�องผสัมีก�บตั้�วิท3าละลายก�อนฉ�ด

ร-ป็แบบยาท��เป็�นข้องเหลวิยาน3&าใสั (Solution)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีข้องเหลวิซึ��งมี�ตั้�วิยาละลายในข้องเหลวิเป็�นเน"&อเด�ยวิก�น ยาน3&าใสัน�&อาจเป็�นได�ท�&งยาร�บป็ระทาน ยาฉ�ด และยาใช�ภายนอกเฉพาะท�� ตั้�วิอย�างเช�น น3&าเกล"อ ยาหยอดตั้า ยาอมีบ�วินป็าก น3&ายาสัวินล�างยาน3&าเช"�อมี (Syrup)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีข้องเหลวิในสัารละลายซึ��งมี�รสัหวิานจากน3&าตั้าล หร"อสัารให�ควิามีหวิานอ"�นๆเช�น sorbitol ตั้�วิอย�างยาน3&าเช"�อมีท��น�ยมีใช�อย�างแพร�หลายได�แก� Paracetamol syrup, CPM syrup สั3าหร�บเด:กอ�ล�กเซึอร0 (Elixir)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีท��มี�ตั้�วิยาสั3าค�ญละลายในแอลกอฮอล0 มี�รสัหวิาน ใช�ร�บป็ระทาน โดยอาจมี�แอลกอฮอล0สั-งถ่�ง 20% ก:ได� ยาเตั้ร�ยมีชน�ดน�&มี�แอลกอฮอล0สั-งจ�งไมี�เหมีาะก�บเด:กเล:ก

Page 9: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 9

สัป็Aร�ตั้ (Spirit)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีชน�ดน3&าท��มี�แอลกอฮอล0ในป็ร�มีาณีท��สั-งมีากถ่�ง 60-90%

อาจใช� เป็�นยาภายนอกใ ช�สั-ดดมี หร"อภายใน ตั้� วิอย� างยาสัป็A ร�ตั้ เช�น peppermint spirit ยาน3&าแข้วินตั้ะกอน (Suspension)

เป็�นร-ป็แบบยาเตั้ร�ยมีท��มี�ตั้�วิยาสั3าค�ญเป็�นผงยาในร-ป็ข้องแข้:งแข้วินลอยอย-�ในข้องเหลวิ โดยมี�สัารช�วิยแข้วินตั้ะกอน (suspending agent) ยาน3&าแข้วินตั้ะกอนสัามีารถ่ออกฤทธิ์�*ได�เร:วิกวิ�ายาเมี:ด แตั้�ตั้�องเข้ย�าข้วิดก�อนร�บป็ระทานเสัมีอ ตั้�วิอย�างเช�น ยาน3&าลดกรด (Antacid) เป็�นตั้�นยาน3&าแข้วินละออง (Emulsion)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีท��มี�ตั้�วิยาสั3าค�ญละลายในข้องเหลวิสัองชน�ดซึ��งไมี�ละลายในก�นและก�น แตั้�ผสัมีก�นอย-� ในร-ป็แข้วินละอองโดยมี�สัารแข้วินละออง (Emulsifier) เป็�นตั้�วิช�วิยโลช��น (Lotion)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีร-ป็น3&าใสั ยาน3&าแข้วินตั้ะกอน หร"อยาน3&าแข้วินละอองท��ใช�ภายนอกเฉพาะท�� ล�น�เมี�นท0 (Liniment)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีภายนอกท��ตั้�วิยาละลายอย-�ในตั้�วิท3าละลายซึ��งเป็�นร-ป็น3&ามี�น มี�กใช�เพ"�อทา ถ่- นวิดบนผ�วิหน�งร-ป็แบบยาท��เป็�นก��งข้องแข้:งคร�มี (Cream)

คร�มีเป็�น emulsion ท��มี�ควิามีข้�นมีากใช�สั3า หร�บภายนอกเท�าน�&น ตั้�วิอย�างยาร-ป็แบบน�&เช�น คร�มีทาแก�ป็วิดบวิมี คร�มีทาลดการอ�กเสับ เช�น Methylsalicylate creamยาข้�&ผ�&ง (Ointment)

ข้�&ผ�&งเป็�นยาท��ตั้�วิยาสั3าค�ญละลายในยาพ"&น (base) ซึ��งมี�ล�กษณีะเป็�นมี�น ยาข้�&ผ�&งมี�หลายป็ระเภทเช�น ข้�&ผ�&งทาแผล ข้�&ผ�&งป็9ายตั้า (eye ointment) ข้�&ผ�&งทาแก�ป็วิดบวิมีเจล (Gel)

เป็�นยาเตั้ร�ยมีก��งแข้:งก��งเหลวิ ซึ��งตั้�วิยาพ"&นมี�กเป็�นโพล�เมีอร0ท��มี�ข้นาดเล:กเร�ยงตั้�วิตั้�อก�น ป็6จจ<บ�นเจลได�ร�บควิามีน�ยมีมีากข้�&นเน"�องจากไมี�เป็รอะเป็C& อน และตั้�วิยาซึ�มีผ�านผ�วิหน�งได�ด�ยาเหน:บ (Suppositories)

Page 10: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 10

เป็� นยา เตั้ร�ยมีก�� งแ ข้: งซึ�� ง ใ ช� โด ย ก า ร เ ห น:บ ท วิ า ร ห น� ก (rectal

suppository) เพ"�อจ<ดป็ระสังค0ให�ออกฤทธิ์�*เฉพาะท�� หร"อออกฤทธิ์�*ท� �วิร�างกายก:ได� ยาเหน:บจะค�อยๆอ�อนตั้�วิและหลอมีละลายภายในล3า ไสั�ท��อ<ณีหภ-มี�ข้องร�างกาย ตั้�วิอย�างยาเหน:บท��น�ยมีใช�ได�แก� ยาระบาย ยาชาเฉพาะท�� ยาก�นช�ก เป็�นตั้�น

นอกจากน�&ย�งมี�ยาเหน:บช�องคลอด (vaginal suppository) ซึ��งใช�ในการร�กษาเฉพาะท�� เช�น ยาตั้�านเช"&อราเหน:บช�องคลอด เป็�นตั้�น

4. Concentration - Effect CurveConcentration – effect curve หร"อ Dose-response curve

เป็�นการ plot ระหวิ�างควิามีเข้�มีข้�นข้องยาก�บการตั้อบสันองท��เก�ดข้�&น ด�งแสัดงในภาพท�� 2

ภาพท�� 2 Experimentally observed concentration-effect curves.

Concentration-response curve แสัดงให�เห:นควิามีสั�มีพ�นธิ์0ระหวิ�างควิามีเข้�มีข้�นข้องยาก�บการตั้อบสันอง หร"อผลทางเภสั�ชวิ�ทยาท��เก�ดข้�&น ยาโดยมีากเมี"�อให�ควิามีเข้�มีข้�นข้องยาท��สั-งข้�&นจะท3าให�การตั้อบสันองเพ��มีข้�&น จนกระท��งถ่� งจ< ดจ< ดหน�� งการตั้อบสันองจะสั-งสั<ด เร�ยกวิ� า “Maximum response”

Page 11: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 11

Agonists VS Antagonistsการออกฤทธิ์�*ข้องยาหลายชน�ดจะมี�เป็9าหมีายการออกฤทธิ์�*ตั้�อโป็รตั้�นท��

เร�ยกวิ�า receptor ยาท��สัามีารถ่จ�บก�บ receptor ได�เร�ยกวิ�า “ligand” ซึ��ง Ligand อาจเป็�น agonist หร"อ antagonist ก:ได�Agonists

หมีายถ่�งสัารท��เมี"�อรวิมีตั้�วิหร"อจ�บเข้�าก�บ Receptors แล�วิจะกระตั้<�น (activation) receptor น�&นและก�อให�เก�ดฤทธิ์�*ทางเภสั�ชวิ�ทยาข้�&น ในควิามีเป็�นจร�งควิามีสัามีารถ่ในการ Activate receptor น�&นเป็�นแบบ “graded”

ค"อสัาร/ยา แตั้�ละชน�ดอาจมี�ควิามีสัามีารถ่ในการ activate receptor ได�แตั้กตั้�างก�น ยาท��เมี"�อจ�บก�บ receptor แล�วิท3าให�เก�ด Maximal response

ได�เร�ยกวิ�าเป็�น “full agonist” สั�วินยาท��เมี"�อจ�บก�บ receptor แล�วิท3าให�เ ก� ด ไ ด� เ พ� ย ง submaximal response เ ร� ย ก วิ� า เ ป็� น “ partial agonist” Antagonists

ห มี า ย ถ่� ง สั า ร ท�� เ มี"� อ จ� บ ก� บ Receptor แ ล� วิ ไ ม- ท3า ใ ห� เ ก� ด ก า ร activation ใดๆ แตั้�ผลการจ�บข้อง Antagonists ก�บ receptor จะไป็ป็9องก�นการจ�บข้อง agonist เข้�าก�บ receptor ด�งน�&นอาจกล�าวิได�วิ�า antagonist จะบดบ�งหร"อรบกวินการออกฤทธิ์�*ข้อง agonist น��นเอง

ภาพท�� 3 Theoretical occupancy and response curves for full and partial agonist.

Page 12: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 12

แสัดงถ่�ง % Response เมี"�อให�ยาในควิามีเข้�มีข้�นตั้�างๆ ข้องยา a และ ยา b

พร�อมีท�&งแสัดง occupancy (สั�ดสั�วินข้อง receptor ท��ถ่-กจ�บด�วิยยา) เมี"�อให�ยาในควิามีเข้�มีข้�นตั้�างๆ ข้องยา a และยา bจะเห:นวิ�ายา a เป็�น Full agonist สัามีารถ่ให� maximum response ได� และเก�ด maximum response ได� ข้ณีะท��ยา b เป็�น partial agonist

ท3าให�เก�ดเพ�ยง submaximal response

Drug antagonisms“Pharmacologic antagonism” เป็�นการตั้�านฤทธิ์�*ท��เก�ดจาก

antagonist ไป็ป็9องก�นไมี�ให� agonist เข้�าจ�บก�บ receptor ซึ��งชน�ดข้องการตั้�านฤทธิ์�*น�&มี� 2 แบบค"อ

1. Competitive antagonism Competitive antagonists จะแย�งท�� agonist ในการจ�บก�บ

receptor เด�ยวิก�น ถ่� ามี� antagonist อย-�ด� วิยจะท3า ให� “Dose

response curve” ข้อง agonist เคล"� อนย�าย (shift) ไป็ทางข้วิามี"อ ซึ��งแสัดงวิ�าตั้�องใช�ควิามีเข้�มีข้�นข้อง agonist มีากข้�&นเพ"�อให�เก�ดฤทธิ์�*ท��เท�าเด�มี (เมี"�อไมี�มี� antagonist อย-�ด�วิย)2. Non-competitive antagonism

Non-competitive antagonist จะรวิมีตั้�วิก�บ receptor แบบถ่าวิร (irreversible) ก�บ binding site ท��ใช�จ�บก�บ agonist หร"ออาจจ�บก�บ site อ"� นๆข้อง receptor ท��ท3าให�เก�ดการย�บย�&งการตั้อบสันองข้อง receptor ตั้�อ agonist ได� การตั้�านฤทธิ์�*แบบ non-

competitive antagonist น�& ไมี�วิ�าจะให� agonist เพ��มีไป็มีากเท�าใดก:ตั้ามีจะไมี�สัามีารถ่ลบล�างฤทธิ์�*ข้อง antagonist ได�เลย ผลท��ได�ค"อ “Dose-response curve” เมี"�อมี� antagonist ป็ระเภทน�&อย-�ด�วิยจะได� Maximum response ข้อง agonist ท��ตั้3�าลงกวิ�าเด�มี

A. competitive antagonism B. Non-competitive antagonism

% response % response100 100

Page 13: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 13

50 50

log [A] log [A]

ภ า พ ท�� 4 The effects of antagonists on dose-response relationships

Other Mechanism of Drug Antagonismนอกจากการตั้�านฤทธิ์�*ก�นข้องยาจะเก�ดข้�&นแบบ Pharmacologic

antagonism แล�วิการตั้�านฤทธิ์�*ก�นข้องยาย�งสัามีารถ่เก�ดข้�&นได�เน"�องจากกลไกอ"�นๆท��ไมี�ได�เก��ยวิข้�องก�บการจ�บท��ตั้�วิ Receptor ได�แก�Physiological Antagonism

เป็�นการตั้�านฤทธิ์�*ระหวิ�างยาท��จ�บก�บ Receptor ท��แตั้กตั้�างก�น แตั้�ให�มี�การตั้�านฤทธิ์�*ก�นได�เน"�องจากให�ผลทางสัร�รวิ�ทยาท��ตั้�านก�น เช�น Antagonism

ท�� เก�ดจากยาท�� ออกฤทธิ์�*ตั้� อ Sympathetic และ Parasympathetic

nervous system Sympathetic drug จะท3าให�อ�ตั้ราการเตั้�นข้องห�วิใจเพ��มีข้�&นและหลอดเล"อดหดตั้�วิข้ณีะท�� Parasympathetic drug จะท3า ให�อ�ตั้ราการเตั้�นข้องห�วิใจช�าลงและหลอดเล"อดข้ยายตั้�วิ ซึ��งจะเห:นวิ�าเป็�นการตั้�านฤทธิ์�*ก�น โดยป็กตั้�แล�วิการตั้�านฤทธิ์�*เช�นน�&ไมี�จ3าเพาะเจาะจงและควิบค<มีได�ยากกวิ�า Pharmacologic antagonism

Antagonism by Neutralization (Chemical Antagonism)

การตั้�านฤทธิ์�*เช�นน�&เก�ดข้�&นเมี"�อยา 2 ชน�ดเก�ดป็ฏิ�ก�ร�ยาเคมี�ตั้�อก�น และท3าให�ยาไมี�สัามีารถ่ไป็ออกฤทธิ์�*ได� เช�น ยา tetracycline หากร�บป็ระทานยาน�&ร �วิมีนมีหร"อแคลเซึ�ยมีจะเก�ด chelation ท3าให�ยาไมี�สัามีารถ่ด-ดซึ�มีและเข้�าไป็ออกฤทธิ์�*ในร�างกายได�

Enhancement of Drug Effects ก�รเสร�มฤทธิ์�4ก�นำของย�1. Additive drug effects

เก�ดข้�&นเมี"�อให�ยา 2 ชน�ดท��มี�ฤทธิ์�*เหมี"อนก�นเข้�าไป็พร�อมีก�นจะท3าให�เก�ดฤทธิ์�*ท��เท�าก�บ ผลรวิมีข้องฤทธิ์�*ยาท�&ง 2 (1+1 = 2)

2. Synergism

Page 14: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 14

เก�ดข้�&นเมี"�อยา 2 ชน�ดท��มี�ฤทธิ์�*เหมี"อนก�น ถ่�าให�พร�อมีก�นจะเก�ดฤทธิ์�*ท��มีากกวิ�าผลรวิมีข้องยาท�&ง 2 (1+1 > 2)

3. Potentiationเก�ดข้�&นเมี"�อยาชน�ดหน��งท��ไมี�มี�ฤทธิ์�*แตั้�เมี"�อให�ร�วิมีก�นก�บยาอ�กชน�ดหน��งจะสัามีารถ่เพ��มีฤทธิ์�*ข้องยาอ�กชน�ดหน��งได� (0+1 > 1)

Therapeutic indexหากท3าการศึ�กษาในสั�ตั้วิ0ทดลองจ3านวินหน��ง และให�ยาชน�ดหน��งในข้นาด

ยาท��แตั้กตั้�างก�นเพ��มีข้�&นเร"�อยๆ และน�บจ3านวินสั�ตั้วิ0ทดลองท��ตั้อบสันองตั้�อยาในข้นาดยาตั้�างๆ น3าค�าท��ได�มีา Plot graph ระหวิ�าง Log dose ก�บจ3านวิน (หร"อ percentage) ข้องสั�ตั้วิ0ทดลองท��ตั้อบสันองจะได� graph แสัดงด�งภาพ

ภาพท�� 5 Quantal Dose-Effect curves

จาก Curve น�&- Dose ข้องยาท��ท3าให�เก�ดการตั้อบสันอง (เช�น หล�บ) ในป็ระชากร

50% เร�ยกวิ�าเป็�น “Median effective dose” หร"อ ED50

- ข้ณีะเด�ยวิก�นหากท3าการศึ�กษาฤทธิ์�*ท��ท3า ให�เก�ดการตั้าย และน�บจ3านวินป็ระชากรท��ตั้าย Dose ข้องยาท��ท3าให�เก�ดการตั้ายในสั�ตั้วิ0ทดลอง 50% เร�ยกวิ�าเป็�น “Median lethal dose” หร"อ LD50

- จ า ก ค� า ED50 แ ล ะ LD50 ท�� ไ ด� จ ะ สั า มี า ร ถ่ บ� ง บ อ ก ถ่� ง “Therapeutic Index, T.I.” ซึ��งเป็�นค�าหน�� งท�� ใช�ป็ระเมี�นควิามีป็ลอดภ�ยในการใช�ยา

Page 15: Introduction to Pharmacology_dd6f

Introduction to Pharmacology_NU/ 15

T.I. = LD50 / ED50

ถ่�าหากค�า LD50 สั-งกวิ�า ED50 มีากก:แสัดงวิ�าข้นาดยาท��ท3าให�ตั้ายอย-�ห�างจากข้นาดยาท��ท3าให�เก�ดฤทธิ์�*มีาก และค�า T.I. จะสั-ง

จากตั้�วิอย�างใน Graph จะเห:นวิ�ามี�ค�า ED50 = 100, LD50 = 400

ด�งน�&นค�า T.I. = 400/100 = 4

Efficacy VS PotencyEfficacy (ป็ระสั�ทธิ์�ภาพ) หมีายถ่�ง ควิามีสัามีารถ่ข้องยาท��ท3าให�เก�ด

ฤทธิ์�*สั-งสั<ด (Maximum response)

Potency หมีายถ่�งควิามีแรงข้องฤทธิ์�*ยา ซึ��งวิ�ดได�จากควิามีแตั้กตั้�างข้องข้นาดท��ใช�ข้องยา 2 ชน�ดเพ"�อท3าให�ได�ผล/ฤทธิ์�*ท��เท�าก�น ซึ��งยาท��มี�ควิามีแรงสั-งจะใช�ข้นาดยาตั้3�าก:สัามีารถ่ท3าให�เก�ดฤทธิ์�*ท��ตั้�องการได� ข้ณีะท��ยาท��มี�ควิามีแรงตั้3�าจะตั้�องใช�ข้นาดยาสั-งข้�&นมีากกวิ�าจ�งจะท3าให�เก�ดฤทธิ์�*ท��ตั้�องการ

Potency ไมี�ข้�&นก�บ Efficacy และโดยป็กตั้�แล�วิ Efficacy จะสั3าค�ญกวิ�า Potency ในการเล"อกใช�ยาให�เหมีาะสัมีก�บภาวิะข้องโรค

Bibliography1. Hardman JG, Goodman Gilman A, Limbird LE, ed.

Goodman & Gilman’s The pharmacological basis of therapeutics. 9th ed. New York: The McGraw-Hill; 1996.

2. Katzung BG, ed. Basic and clinical pharmacology, 8th ed. New York: Lange medical books/McGraw-Hill; 2001.

3. Rang HP, Dale MM, Ritter JM, Pharmacology. 4th ed. Edinburgh: Churchill Livingstone; 2000.

4. ภาควิ�ชาเภสั�ชวิ�ทยา คณีะแพทยศึาสัตั้ร0 มีหาวิ�ทยาล�ยเช�ยงใหมี�. เภสั�ชวิ�ทยา เล�มี 1; 2539.

5. ย<พ�น สั�งวิร�นทะ และคณีะ . เภสั�ชวิ�ทยา . ภาควิ�ชาเภสั�ชวิ�ทยา คณีะวิ�ทยาศึาสัตั้ร0 มีหาวิ�ทยาล�ยมีห�ดล. พ�มีพ0คร�&งท�� 3. 2539.